1. มีปัญหา (Pain Point) อะไรลิสมาเป็นข้อๆ 

เริ่มต้นก่อนซื้อโปรแกรมเงินเดือน ควรลิสปัญหาของการทำเงินเดือนออกมาก่อน เช่น

– ช่วงทำเงินเดือนทีไร กลับบ้านดึกทุกวัน จะดีแค่ไหน ถ้าเกิดว่าระบบที่เราใช้ ทำให้เรา work from home ได้

– กว่าจะรวบรวมโอทีจากแต่ละสาขา เล่นเอาเหนื่อย แบบนี้ต้องคลาวด์นะ

– การเขียนลงบันทึกมีโอกาสเอื้อประโยชน์กันได้ ระบบที่ดีต้องมีฟีเจอร์ให้ระบุงานที่ทำได้นะ

– เอางานกลับไปทำที่บ้านก็ไม่ได้ เพราะข้อมูลอยู่ในเซิร์ฟเวอร์

ต่างๆ เหล่านี้จะให้คำตอบคุณได้ว่าคุณต้องการโปรแกรมเงินเดือนแบบไหนมาช่วยงาน 

 

  1. ให้ผู้ใช้งาน (User) ร่วมคัดเลือกโปรแกรม

โดยทั่วไป ผู้ที่ตัดสินใจซื้อโปรแกรม คือ เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหาร เมื่อนำมาให้พนักงานใช้งานแล้วเกิดปัญหาใช้งานยากพนักงานอาจมีการต่อต้าน แต่อันที่จริงแล้วเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมักจะมีการต่อต้านเสมอ ดังนั้น การเลือกซื้อโปรแกรมควรให้ payroll มีส่วนร่วมในการคัดเลือกจะช่วยลดปัญหา

 

  1. งบประมาณ

งบประมาณที่ตั้งจากฝ่ายบริหารเป็นปัจจัยหลักที่ต้องนำมาใช้ในการตัดสินใจ แต่หากว่าเราได้โปรแกรมที่เหมาะสมนำมาช่วยงานได้ กรณีราคาเกินมาบ้างเราก็ยังมีเหตุผลในการนำเสนอที่ชัดเจน เพราะเราได้วิเคราะห์ความต้องการตามข้อ 1 แล้ว ซึ่งเดี๋ยวนี้ระบบคลาวด์ดีๆ จะทำให้งานของเราง่ายขึ้นเยอะ เพราะเซิฟเวอร์ก็ไม่ต้องซื้อ ไอทีก็ไม่ต้องจ้าง

 

  1. การบริการ

การบริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อเราติดปัญหาควรจะมีคำแนะนำ พร้อมช่วยแก้ปัญหาโดยทันทีทันใด สังเกตุจาก…

– โทร.ติดต่อง่ายไหม มีผู้รับสายเป็นอย่างไร นำเสียงยินดีให้บริการหรือไม่

– การเข้ามานำเสนอการใช้งานโปรแกรม (Demo) เป็นอย่างไร ผู้ขายสื่อสารชัดเจน เข้าใจง่าย ยิ้มแย้มแจ่มใส น่าพูดคุย เป็นต้น

– การตอบเมล์รวดเร็วหรือเปล่า

– จำนวน Support ในบริษัทมีเพียงพอ

– เครื่องมือในการช่วย Support เช่น การทำคู่มืออ่านง่าย มีคู่มือออน์ไลน์ มีวีดีโอสื่อการสอน มี Line Support ฯลฯ

 

  1. โปรแกรมเงินเดือนยืดหยุ่นมากแค่ไหน 

สำรวจข้อจำกัด เงื่อนไข สิ่งแวดล้อมภายในบริษัท ยกตัวอย่างเช่น…. บริษัทมีโปรแกรมทะเบียนพนักงานอยู่แล้ว ต้องการแค่โปรแกรมคำนวณเงินเดือน ต้องโอนย้ายข้อมูลจากโปรแกรมทะเบียนพนักงานไปเข้าโปรแกรมเงินเดือนตัวใหม่ ดังนั้นโปรแกรมจึงควรยืดหยุ่นรองรับการโอนย้าย (Import File)

ควรตั้งคำถามให้มากว่า ทำอันนี้ได้ไหม ทำอย่างนี้ได้ไหม เพื่อทราบว่าโปรแกรมหยืดหยุ่นรองรับการใช้งานของเรา ***ที่สำคัญควรสอบถามด้วยว่ามีค่าบริการเพิ่มหรือเปล่า จะได้คำนวณงบประมาณไม่ผิดพลาด***

 

  1. ตัวโปรแกรมเงินเดือน

รูปแบบ สบายตา โปรแกรมใช้งานง่าย ตอบสนองความต้องการ มีให้เข้าไปทดลองใช้ ที่สำคัญการออกรายงานเพื่อนำส่งส่วนราชการตรงกับแบบฟอร์มหรือเปล่า อีกด้านการออกรายงานแสดงผลตรงกับความต้องการผู้บริหารหรือไม่

 

  1. ความปลอดภัย

– Background ของบริษัทฯ จัดตั้งมากี่ปีแล้ว เคยมีผู้ใช้บริการกับโปรแกรมเมอร์ที่เป็นฟรีแลนซ์ แต่พอหลังจากโปรแกรมเสร็จก็ไม่สามาถติดต่อได้อีกเลย….

– บริษัทคู่ค้าน่าเชื่อถือหรือไม่ เช่น เช่าพื้นที่เก็บข้อมูลจากที่ใด (Cloud Server) ระบบปลอดภัยหรือไม่ อุปกรณ์เครื่องสแกนนิ้ว (Finger Scan) จากยี่ห้อใด รับประกันกี่ปี ฯลฯ

 

  1. ลูกค้าที่ใช้บริการ

หาข้อมูล หรือสอบถามลูกค้าที่ใช้บริการ ยิ่งถ้าเป็นเสียงจากผู้ใช้บริการช่วยบอกเราว่าโปรแกรมใช้งานได้ดี ก็สามารถเพิ่มความมั่นใจให้เรามาขึ้น 

 

  1. มองถึงอนาคต

– โปรแกรมมีการปรับปรุงตามคำแนะนำของลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

– พัฒนา Update ให้ทันตามความต้องการ และทันยุคสมัย 

– มีการเตรียมตัว รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruption) 

หากคิดวิเคราะห์ตามนี้แล้วก็คงไม่มีคำว่า “เลือกผิดชีวิตเปลี่ยน” หรอกนะคะ ถ้าเพื่อนๆ ต้องการคำปรึกษาก็สามารถเข้ามาสอบถามกันได้ เรายินดีให้คำปรึกษาค่ะ

9 หลักการ ที่ควรคำนึงก่อนเลือกซื้อโปรแกรมเงินเดือน

การนำ competency มาเป็นหลักในการสัมภาษณ์ (Competency based interview)

ลักษณะบทสัมภาษณ์

การสัมภาษณ์งานโดยใช้ competencies ของตำแหน่งนั้นๆ มาเป็นกรอบทิศทางในการสัมภาษณ์งาน ดังตัวอย่าง

1

โดยส่วนใหญ่ผู้เขียนจะนำ key competencies มาใช้เป็นแบบคำถามที่ใช้สัมภาษณ์ เพราะหากนำมาตั้งคำถามทั้งหมดคงใช้เวลานานมากเกินไป และหากเป็นด้านอื่นๆ ก็จะใช้วิธีสังเกตุพฤติกรรม เช่น มนุษย์สัมพันธ์ดี ก็สังเกตุว่าเป็นคน สุภาพ ยิ้มแย้ม น่าพูดคุยด้วยไหม เป็นต้น  

ยกตัวอย่าง ด้านการบริหารสำนักงาน เช่น

กรณีนักศึกษาจบใหม่ 

– เคยฝึกงานในตำแหน่งธุรการใช่ไหมครับ ไหนเล่าหน้าที่การทำงานให้ฟังหน่อย

– การเบิกอุปกรณ์มีขั้นตอนอย่างไร

กรณีมีประสบการณ์

– ยกตัวอย่างการบริการสำหรับอาคารสำนักงานที่ต้องใช้บริการมาสัก 4 บริการครับ

– ขั้นตอนการเลือกผู้บริการ (Supplier) มีอะไรบ้าง

 

ยกตัวอย่าง ด้านการประสานงาน เช่น

กรณีนักศึกษาจบใหม่ 

– เวลาไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนๆ ใครเป็นคนจัดการหาที่เที่ยว หรือติดต่อที่พักครับ

กรณีมีประสบการณ์

– ที่ทำงานเก่าประสานงานกับแผนกไหนยากที่สุดครับ แล้วทำอย่างไรถึงจะดำเนินการได้บรรลุเป้าหมาย

 

ผ่านไปกับอีกหนึ่งเทคนิคการสัมภาษณ์ ยังคงเหลือ Star technique interview ที่จะมาอธิบายให้ฟังในครั้งหน้านะคะ 

 

ขอขอบพระคุณครูอาจารย์ทุกท่าน

 

negative-space-desk-laptop-calendar-plant-matthew-henry-thumb-1

เครื่องมือ และเทคนิคที่ใช้ในการสัมภาษณ์งาน EP.2 

เป็นการแนะนำเครื่องมือ หรือเทคนิคที่ใช้ในการสัมภาษณ์งาน ที่ได้เกริ่นต่อจาก EP.1 หากท่านใดยังไม่ได้อ่านสามารถกลับไปอ่านย้อนหลังก่อนเพื่อความเข้าใจอย่างต่อเนื่องนะคะ ^^

แนะนำแต่ละเครื่องมือ

1. การสัมภาษณ์งานเชิงพฤติกรรม (Behavioral Based Job Interview) คือ เทคนิคการสัมภาษณ์ที่เน้นไปที่พฤติกรรม การกระทำต่างๆ แเละควรเป็นประสบการณ์ที่เคยลงมือทำจริงๆ

ลักษณะบทสัมภาษณ์

ควรตั้งคำถามให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ ได้เล่าถึงประสบการณ์ ได้แสดงออกถึง แนวคิด วิธีการแก้ปัญหา และพฤติกรรมที่แสดงออกในสถานการณ์ต่างๆ

ยกตัวอย่าง เช่น

กรณีนักศึกษาจบใหม่

  • เวลาทำงานกลุ่ม เคยมีไม่พอใจเพื่อนบ้างไหม ไม่พอใจเรื่องอะไร แล้วแก้ปัญหาอย่างไร
  • เคยร่วมออกค่ายอาสา หรือกิจกรรมของมหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่ ทำหน้าที่อะไร

กรณีมีประสบการณ์

– เคยไม่เห็นด้วยกับหัวหน้างานบ้างไหม แล้วคุณมีวิธี หรือกลยุทธ์อย่างไรให้หัวหน้าเห็นด้วยกันเรา

– ลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาตำหนิสินค้า หรือบริการ แต่ไม่ใช่หน่วยงานของคุณ คุณจะดำเนินการอย่างไร 

 

ในเวลาสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรรับฟัง พร้อมกับวิเคราะห์แนวคิดในการตอบ เช่น 

หากผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบว่า “เคยออกค่ายอาสามาครับ” ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อไปถึงที่โรงเรียนส่วนใหญ่ผมรับหน้าที่ซ่อมบำรุงครับ 

แต่หากผู้ถูกสัมภาษณ์ “เคยออกค่ายอาสามาครับ” ก็ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ แบ่งงานทำตามกลุ่มผู้รับผิดชอบ 

 

**สังเกตุว่าการตอบว่า “เคย” แต่การดำเนินการไม่เหมือนกัน การถามเชิงพฤติกรรมหากอยากให้ได้ผลควรนำคำตอบแรกมาตั้งเป็นคำถามที่สอง เพื่อตรวจสอบพฤติกรรม และแนวโน้มที่จะแสดงออก เช่น 

คำตอบแรก “เคยออกค่ายอาสามาครับ” ก็ไปกับกลุ่มเพื่อนๆ แบ่งงานทำตามกลุ่มผู้รับผิดชอบ

ถามต่อว่า ไปออกค่ายฯ เพราะเพื่อนชวน หรือคุณเป็นฝ่ายชวนเพื่อน และไปออกค่ายบ่อยไหม เป็นต้น

ขอยกยอด Competency based interview และ Star technique interview เป็นครั้งหน้านะคะ เพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะ หากเพื่อนๆ มีข้อสงสัยสามารถฝากคำถามไว้ได้เช่นเคยค่ะ

 

ขอขอบคุณครูอาจารย์ทุกท่าน 

helloquence-5fNmWej4tAA-unsplash

จากที่ผู้เขียนผ่านประสบการณ์ด้านงานสรรหาว่างจ้างมา พบว่า มีการจัดทำแบบประเมินผลการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน แถบทุกองค์กร แต่น้อยนักที่จะพบว่ามีการจัดทำ แบบคำถามที่ใช้สัมภาษณ์ของแต่ตำแหน่งในองค์กร

ปัญหาที่พบเจอในการสัมภาษณ์ผู้สมัคร คือ

– การสัมภาษณ์ที่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า

– ไม่มีการเตรียมคำถาม แต่ตั้งคำถามตามความรู้สึกของผู้สัมภาษณ์

อาจทำให้การสัมภาษณ์ไม่เป็นระบบ ถามคำถามคนนั้นอย่าง คนนี้อย่าง หรือประเมินได้ไม่ครบถ้วน นำมาซึ่งความสับสนในการตัดสินใจคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถจริงเข้ามาร่วมงานกับเรา

หลักการสัมภาษณ์งาน

  1. การสัมภาษณ์ควรเปิดโอกาสให้ผู้สมัครได้พูดมากกว่า คิดเป็นสัดส่วน 70% ของเวลาการสัมภาษณ์เลยทีเดียว เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามคำถามออกไปแล้วควรฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ พิจารณาคำตอบ พร้อมสังเกตุพฤติกรรม และแววตาของผู้สมัคร ยิงคำถามกลับในเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรพูดมากกว่าผู้สมัครจะทำให้การสัมภาษณ์ไม่มีประสิทธิภาพ
  1. การเตรียมคำถาม / แบบคำถามสัมภาษณ์งานภายในองค์กร โดยใช้เทคนิคต่างๆ มาสร้างแบบคำถาม
  1. ทัศนะคติในการสัมภาษณ์งานเป็นเรื่องสำคัญ ผู้สัมภาษณ์ควรทำใจเป็นกลาง อย่าเพิ่งดูคนจากภายนอกแล้วสรุปเองเอ่อไปก่อนจะเกิดอคติ นำไปสู่การสัมภาษณ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพเช่นกัน

วิธีการพัฒนาระบบการสรรหาคัดเลือก

1.ให้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ แด่ผู้สัมภาษณ์งาน

2.ทบทวนขั้นตอนการสมัครงาน โดยใช้ระบบเข้ามาช่วย เช่น

  • การลงประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงาน ชี้แจงหน้าที่งาน หรือคุณสมบัติชัดเจนหรือไม่
  • กรอกใบสมัครผ่านระบบ หรือยังต้องไปเขียนใบสมัครที่บริษัท คิดว่าหลายคนก็คงรู้สึกอย่างผู้เขียน คือ มันค่อนข้างใช้เวลา
  • แบบทดสอบความรู้ ทักษะ
  • แบบทดสอบจิตวิทยา เหมาะสมกับองค์กรหรือไม่

3. ออกแบบจัดทำ แบบคำถามที่ใช้สัมภาษณ์ ในองค์กร

ยกตัวอย่างเครื่องมือ และเทคนิคการสัมภาษณ์งาน เช่น

  1. การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Based Job Interview)
  2. การนำ competency มาเป็นหลักในการสัมภาษณ์ (Competency based interview)
  3. การสัมภาษณ์ถึงขั้นตอนกระบวนการตามหลัก STAR (Star technique interview)
  4. การสัมภาษณ์ โดยใช้คำถามที่เน้นไปที่การวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ (Situational Question)
  5. การใช้กรณีศึกษา มาเป็นการสัมภาษณ์ (Case Study)

ใน EP. หน้า ผู้เขียนจะลงรายละเอียดเครื่องมือแต่ละตัวให้ แต่คงไม่ครบทั้งหมดนะคะ และปิด EP. ด้วย การเลือกนำเครื่องมือมาประยุกต์ใช้สร้าง แบบคำถามที่ใช้สัมภาษณ์งาน

ขอขอบคุณครูอาจารย์ทุกท่าน

  1. เทคนิคการสัมภาษณ์ผู้สัมคร เรื่องง่ายๆ ที่มักถูกลืม Prakal’s Blog: HR Knowledge Community
  2. สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้คนที่ใช่และไม่โดนหลอก โดย อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

cowomen-7Zy2KV76Mts-unsplash

หลายๆ องค์กรคงเคยทำ JD ไว้แล้ว และทำไว้เป็นอย่างดี พร้อมกับจัดเก็บเข้าแฟ้มที่ HR เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน จะนำมาใช้อีกทีก็ตอน Audit เรียกตรวจเอกสาร

จึงเป็นที่น่าเสียดาย JD ที่ท่าน และหัวหน้างานอุตส่าห์ทำกันมา ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง มาเริ่มการใช้ประโยชน์จาก JD ง่ายๆ คือ

***ขั้นตอนการร้องขอพนักงาน (Manpower Request) ควรมีการแนบ JD คู่กับใบร้องขอทุกครั้ง***

Title1

กรณีที่เป็นทดแทน:

เป็นโอกาสหัวหน้างานทบทวน JD ว่าภาระหน้าที่ของงานยังครบถ้วน คงเดิมหรือไม่ ประกอบกับประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณสมบัติพนักงานที่อยากได้อาจจะมีสาขาอื่นๆ หรือสาขาใกล้เพิ่มเข้ามาอีกก็เป็นได้

กรณีขอใหม่:

การเขียนบรรยายลักษณะงาน ทำให้หัวหน้างานได้ทบทวนภาระหน้าที่ของตำแหน่งใหม่ที่จะรับเข้ามา ว่าจำเป็นจริงหรือไม่ หากจำเป็นก็สามารถเขียนได้อย่างครบถ้วน และบอกคุณสมบัติที่ต้องการอย่างตรงเป๊ะ ช่วยให้การสรรหาคนได้ใกล้เคียงความต้องการหากทบทวนแล้วหน้าที่งานยังมีจำนวนน้อย หรือสามารถกระจายให้ในทีมทำได้ก็ช่วยลดต้นทุนค่าแรงให้กับองค์กรได้อีก

***เป็นธรรมดาเวลาที่เราเครียด หรืองานยุ่งๆ การหาทางออกก็ คือ เพิ่มคน แต่หากได้ทำ JD บรรยายภาระหน้าที่งานที่ต้องการจริงๆ ก็อาจจะพบทางออกก็ได้***

JD (Job Description) ยังมีประโยชน์อีกมาก ยกตัวเช่น

  1. ช่วยระบุหน้าที่งาน และคุณสมบัติพนักงาน ทำให้สรรหาพนักงานให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด
  2. เป็นการมอบหมายภาระหน้าที่งานให้กับพนักงานใหม่อย่างครบถ้วน
  3. เป็นแนวทางในการจัดทำ OJT (On The job training)
  4. ใช้วิเคราะห์หลักสูตรฝึกอบรม
  5. ช่วยกำหนดตัวชี้วันผลการปฏิบัติงาน
  6. สามารถกำหนด Competency จากภาระหน้าที่งาน

ประโยชน์ของ JD ยังมีอีกมากมาย หากเพื่อนๆ ยังสงสัยวิธีใช้ก็สามารถสอบถามมาได้นะคะ ยินดีให้คำแนะนำ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันค่ะ

Posted in HR.

ในหลายๆธุรกิจ คงต้องมีการส่งเสริมการขายด้วยการ มีพีซียืนเชียร์ขายสินค้า และเชื่อว่าคงประสบปัญหาคล้ายๆกัน คือ
เราจะรู้ได้อย่างไร เด็กถึงหน้างานแล้วตามเวลาที่ทางร้านกำหนด หรือ เราจะรู้ได้อย่างไรเด็กไม่กลับก่อนเวลา

EZY-HR เช็คอิน นอกสถานที่

ที่ผ่านมาธุรกิจประเภทนี้ ต้องมีหัวหน้างาน หรือที่เรียกว่า supervisor คอยสุ่มตรวจตามสถานที่ต่างๆที่มีการส่งเด็กไปทำการส่งเสริมการขาย ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว และการส่งsupervisor ตรวจงานก็มีปัญหาในเรื่องการเดินทาง ในแต่ละวัน supervisor สามารถเดินทางไปตรวจได้แค่ 3-5 ที่ ก็หมดเวลาแล้ว 1 วัน เพียงเพื่อเราอยากทราบว่า พนักงานส่งเสริมการขายทำงานจริงหรือไม่ แต่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้อย่างมากมาย และอาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด

เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการพัฒนามากขึ้น คือ การให้เด็กถ่ายรูปลงกรุ๊ปว่าถึง ณ จุด แล้วจริงๆหรือยัง
แต่รูปถ่ายนั้นเราก็ไม่สามารถทราบได้เช่นกันว่า เป็นรูปจากคลังไหม เป็นรูปเก่าไหม

การแชร์โลเคชั่น เป็นโลเคชั่นหลอกไหม และปัญหานี้ก็ส่งผลกลับมายังหัวหน้างานเมื่อหน้าร้านโทรศัพท์ต่อตรงมาจากร้านว่า เด็กไม่มาให้มาขนบูทกลับไปได้เลย สิ่งที่ตามมาทำให้ส่งผลเสียหายและภาพลบกับเจ้าของสินค้า หรือ บริษัทมากๆ

โปรแกรม EZY-HR มีระบบ Checkin-out ทำให้ทราบได้ทันทีว่า พีซีถึงหน้าร้านจริงหรือไม่
ทั้งจากการตรวจสอบโลเคชั่น และการให้พนักงานยืนยันสถานที่ทำงานโดยการเซลฟี่ ที่ระบบมีการบังคับให้เป็นการถ่ายภาพสด จากสถานที่อยู่ ณ ขณะนั้น
โดยที่ทางหัวหน้างานสามารถเช็คเวลาเข้างานของพนักงานได้ผ่านเว็บเพื่อเช็คว่าใครมาทำงานแล้วบ้าง ทำให้ หมดปัญหาเรื่องการเข้าออกงานของ PC

HR มือใหม่ เริ่มต้นใช้เทคโนโลยีบุคคลในธุรกิจ SME ขนาดเล็ก

โซลูชั่นบริหารงานบุคคลและเงินเดือน EZY-HR

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแชทคุยกับเพื่อน โอนเงิน จ่ายเงิน การท่องเว็บต่างๆ ผ่าน application บน smart phone อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า ยังมีคนอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ หรือเข้าถึงแค่บางส่วนทั้งแบบจงใจหรือภาวะจำยอมก็ตาม

EZY-HR โปรแกรมทำเงินเดือนออนไลน์ที่เป็นมากกว่าโปรแกรมทำเงินเดือนนั้น นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของความก้าวหน้าในการทำเงินเดือนที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยจากเดิมเราต้องนั่งทำเงินเดือนจนดึกดื่นที่สำนักงาน กว่าจะเสร็จห้าทุ่มเที่ยงคืนกว่าจะได้กลับบ้าน เหนื่อยแทบขาดใจก็สามารถกลับไปทำที่บ้านต่อได้ ด้วยความเป็น Cloud ความเป็น Online ทำให้สะดวกในการทำงาน

แล้วยังมีข้อดีอะไรอีกบ้างที่จะได้รับจาก EZY-HR

ความคุ้มค่า EZY-HR เป็นโปรแกรมเงินเดือนที่มากกว่าโปรแกรมทำเงินเดือนธรรมดาๆ กล่าวคือ โปรแกรมทำเงินเดือนทั่วไป มักมีการทำงานหลักเป็นการทำเงินเดือนที่เป็นตัวเด่นของโปรแกรม ไม่ว่าจะด้วยฟังค์ชั่นการทำงานอะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายจะไปที่ payroll ทั้งหมด แต่ EZY-HR ต่างออกไป การทำเงินเดือนเป็นเพียงฟังค์ชั่นหนึ่งของโปรแกรมเท่านั้น ซึ่งภายในโปรแกรมยังมีตัวเสริมอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับงานของฝ่าย HR ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสวัสดิการ การแจกใบเตือน การคำนวณค่างานรายชิ้น การจัดการกะโดยพนักงาน คู่มือพนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย

ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ หลายๆ กิจการที่นำ EZY-HR ไปใช้นั้นพบว่า สิ่งที่ตนเองเข้าใจ หรือทำมาตลอดนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือเป็นหนทางในการทำงานที่ดีที่สุด แต่เมื่อนำ EZY-HR ไปใช้แล้ว พบว่า ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้าใจผิดหรืออาจมีหนทางที่ดีกว่าในการทำงานอีกมากมายที่ไม่เคยนึกถึง EZY-HR ได้ให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้าน HR จริง ซึ่งไม่เพียงแต่เพียงให้บริการ แต่ยังให้คำปรึกษาเสนอแนะแนวทางในการทำงานถ้าประสบปัญหาหรือช่วยแก้ปัญหาอีกด้วย เช่น แนะนำเกี่ยวกับข้อกฎหมายด้าน HR ที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้องหรือไม่เคยรู้มาก่อน (ซึ่งพบว่ามีจำนวนมาก) แนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่และหาทางในการบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง

ได้ใช้งานกระบวนการบริหารงานบุคคลที่ออกแบบมาเฉพาะอุตสาหกรรมของคุณ ธรรมชาติการทำงานของกิจการแต่ในละอุตสาหกรรมนั้น มีความแตกต่างกันออกไป เช่นอุตสาหกรรมร้านอาหาร ก็มักจะมีเทคนิคการจัดการบริหารงานบุคคลแตกต่างไปจากธุรกิจโรงงาน ดังนั้น การนำเอาระบบบริหารงานบุคคลที่เหมาะกับอุตสาหกรรมแต่ละแบบ ไปใช้ดูแลพนักงานให้มีขวัญกำลังใจที่ดี มีแรงต่อสู้ในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ  เมื่อใช้ EZY-HR แล้ว ทีมงานผู้เชี่ยวชาญจะนำเสนอแนวทางที่เป็นไปได้หรือให้คำปรึกษากับสิ่งที่ต้องการ ด้วยมาตรฐานการทำงานของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำให้สามารถวางแนวทางในการรักษาและพัฒนาพนักงานได้

ความสะดวกสบายในการใช้งาน ตามที่เกริ่นไปแล้วว่า ระบบ EZY-HR เป็นระบบ Cloud ดังนั้นจึงสามารถใช้งานที่ไหน อย่างไรก็ได้ และยังสามารถให้พนักงานเข้าใช้เพื่อลดเวลาในการทำงานของ HR ลงได้ โดยไม่ต้องมานั่งตอบคำถาม ตรวจสอบข้อมูลให้กับพนักงานอีกต่อไป พนักงานสามารถตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองได้ ทำให้ HR สามารถนำเวลาไปใช้ในการทำอย่างอื่นได้อีกมาก นอกจากนี้ ยังมี Application ซึ่งช่วยในการทำงานแม้จะอยู่นอกสถานทีทำงาน ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ได้เข้าสำนักงานเลยยังไง ก็ยังสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ

ประหยัดงบประมาณลงทุนกับระบบไอที การจ้างพนักงาน IT สักคนมาคอยดูแล Server ของโปรแกรม ที่ต้องคอยเปิดแอร์ให้และมีห้องเป็นของตนเองนั้น นับเป็นต้นทุนระยะยาวที่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีความเสี่ยง แต่ EZY-HR บริษัทไม่ต้องจ่าง IT ไม่ต้องมีห้อง Server ไม่ต้องกลัวข้อมูลหาย ไม่ต้องกลัว IT ขาดความรู้ เนื่องจาก EZY-HR เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการในส่วนนี้ซึ่งดำเนินการโดยมืออาชีพ นอกจากค่าใช้จ่ายด้าน Hardware ที่ลดลงแล้ว ส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น การพิมพ์ การใช้กระดาษ ก็สามารถประหยัดได้อีกด้วย

 


มาถึงตรงนี้ หลายๆคนคงจะเห็นถึงเหตุผลที่เราควรจะนำเอาระบบบริหารบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไปใช้ในธุรกิจกันแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าโปรแกรมเงินเดือนแบบไหนที่จะเหมาะกับองค์กรของคุณ ลองตอบคำถามสั้นๆเพื่อหาว่าคุณจะเหมาะกับโปรแกรมเงินเดือนแบบไหนได้ที่นี่เลย https://ezyhrsignup.ezy-hr.com/


Photo by mentatdgt from Pexels

 

Posted in HR.

จากตอนที่ 1 และ 2 เราทราบกันไปแล้วว่า ฝ่าย HR ทำงานสะดวกขึ้นได้อย่างไร

ตัวช่วย HR ให้งานง่ายขึ้น

 

ทุกวันนี้ เทคโนโลยีในงานระบบบริหารงานบุคคลเข้ามามีบทบาทส่วนช่วยเหลือในหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยลดงานด้านเอกสาร และลดเวลาในการทำงานลง จากเดิมที่ต้องเขียนเอง แก้ไขเอง หรือคิดเอง ก็เปลี่ยนเป็นระบบคำนวณและแก้ไขให้ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฝ่าย HR จะไม่เปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

 

แล้วในมุมพนักงานล่ะ พนักงานจะได้อะไร?

 

สำหรับพนักงานแล้ว การใช้งานระบบโปรแกรมจัดการระบบบริหารงานบุคคลที่ดี จะลดระยะเวลาทำงานลงเช่นกัน และเพิ่มความสะดวกสบายทั้งในฝั่งของหัวหน้างานและฝั่งพนักงาน มีเรื่องใดบ้างมาดูกัน

 

  1. เพิ่มความรวดเร็วในการลงเวลาทำงาน และตรวจสอบเวลาตนเองได้ โดยสามารถดูได้ทั้งบนหน้า web และหน้า mobile application
  2. พนักงานสามารถตรวจสอบโควตาการลาคงเหลือของลาแต่ละประเภทได้เอง โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินมาถาม HR และต้องไปนั่งเปิดใบกระดาษลาย้อนหลัง
  3. พนักงานสามารถขอลา ขอโอที หรือขอรายการอื่นๆ ได้ตามที่มีการตั้งค่าในระบบเอาไว้ และสามารถตรวจสอบการอนุมัติได้ทันที
  4. หัวหน้างานสามารถอนุมัติการลา ขอโอที หรือขอรายการอื่นๆ ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทั้งในและนอกบริษัท
  5. หัวหน้างานสามารถตรวจสอบการมาทำงานของพนักงาน รวมถึงการจัดเวลาการทำงานของพนักงานเองได้ โดยไม่ต้องส่งเรื่องมาที่ HR เพื่อดำเนินการให้
  6. พนักงานสามารถดาวโหลดสลิปเงินเดือนได้เอง รวมถึงตรวจสอบรายการเงินได้ ค่าลดหย่อน และประมาณการภาษี เพื่อวางแผนทางด้านภาษีได้
  7. ที่สำคัญที่สุด ลดการใช้กระดาษและหมึก ลดเวลาในการเดินและตามเอกสาร ลดการสูญหายหรือเสียหายของเอกสารต่างๆ

 

สนใจอยากจะรู้ว่า โปรแกรมจัดการระบบบริหารงานบุคคลออนไลน์ EZY-HR จะช่วยคุณได้ยังไง ภายใน 10 นาที คลิกที่นี่

รูปประกอบจาก Photo by bruce mars from Pexels

 

ตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงภาระงานของฝั่ง HR ที่ต้องทำในแต่ละเดือน

ตัวช่วย งาน HR ให้ง่าย

ด้วยภาระงานจำนวนมากขนาดนี้ ฝ่าย HR ก็มักจะปวดหัวกับการทำงานในแต่ละอย่างต้องให้รวดเร็วและทันเวลาเสมอ เพราะงาน HR มีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องแทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขาดลามาสายที่ต้องสรุปเป็นรายเดือน การประเมินผลทดลองงาน การสรุปภาษีประจำปี การประเมินผลงานประจำปี การจัดทำสถิติรายวัน รายเดือน รายไตรมาส และรายปี เป็นต้น

เช่น ประกันสังคมและรายงาน ภงด.1 ต้องส่งภายในระยะเวลาที่กำหนดในแต่ละเดือน ไม่เช่นนั้นจะโดนโทษปรับ ซึ่งคิดเป็นรายวัน หรือการต่อเอกสาร Work Permit ของพนักงานที่เป็นต่างชาติ ถ้าดำเนินการไม่ทัน พนักงานท่านนั้นจะต้องกลับประเทศก่อนและต้องเสียเวลาในการดำเนินการเอกสารใหม่ เป็นต้น

ถ้ามีระบบที่มีความสามารถเหล่านี้ได้นะ จะช่วยทำให้งาน  HR ง่ายขึ้นมากโดย

  1. ทำการเก็บบันทึกประวัติที่เกิดขึ้น ซึ่งง่ายต่อการค้นหาโดยสามารถเรียกดูข้อมูลตามที่เราต้องการได้ โดยสามารถเรียกดูได้เป็นรายแผนก รายคน หรือตามประเภทของแต่ละฟังค์ชั่นได้
  2. ทำการประมวลผล ในฟังค์ชั่นและรายงานหลายๆ อย่างในระบบ มีการประมวลผลและสรุปยอดต่างๆ ให้ ทำให้ช่วยประหยัดระยะเวลา โดยสามารถเรียกดูได้เป็นรายแผนก รายคน หรือตามประเภทของแต่ละฟังค์ชั่นได้
  3. แจ้งเตือน ในระบบมีหลายๆ ฟังค์ชั่นที่สามารถแจ้งเตือนผู้ใช้งานได้ ทำให้ไม่พลาดที่จะทำงานที่สำคัญๆ เช่น แจ้งเตือนพนักงานผ่านทดลองงานหรือกำลังจะหมดสัญญาจ้าง แจ้งเตือนพนักงานที่ลาในวันนั้น แจ้งเตือนใบคำขอต่างๆ ที่รอการอนุมัติ แจ้งเตือนใบอนุญาตหมดอายุ แจ้งเตือนเอกสารราชการหมดอายุ แจ้งเตือนการต่อทะเบียนรถ การจ่ายภาษีโรงเรือน หรืออื่นๆ ตามที่มีการบันทึกไว้ในระบบ เป็นต้น
  4. อำนวยความสะดวก ระบบมีการอำนวยความสะดวกในการทำงานแก่ทั้ง Admin และพนักงานผู้ใช้งาน โดยสามารถสร้าง User ให้พนักงานเข้าทำงานในระบบได้ เป็นการลดงานของ Admin ที่จะต้องมาทำเองทุกอย่าง เมื่อเปิดให้พนักงานเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งใบคำขอเรื่องต่างๆ ก็สามารถขอผ่านระบบได้ หัวหน้างานก็สามารถอนุมัติให้พนักงานได้อย่างรวดเร็ว ทาง Admin หรือผู้มีตำแหน่งสูงขึ้นไปตามลำดับชั้นก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ พนักงานยังสามารถตรวจสอบประวัติหรือรายการต่างๆ ย้อนหลังได้ด้วยตนเอง เช่น ลาอะไรไปแล้วบ้าง คงเหลือวันลาแต่ละประเภทกี่วัน ใบลาได้รับการอนุมัติหรือยัง เป็นต้น
  5. รายงาน ในระบบมีรายงานที่หลากหลายและมีจำนวนมาก เพื่อให้ครอบคลุมการทำงานให้ได้มากที่สุด และตรงความต้องการของทาง HR ในการเรียกใช้ข้อมูล และสามารถนำรายงานไปใช้ต่อได้ โดยสามารถเรียกออกรายงานเป็น Excel หรือ PDF ก็ได้
  6. ลดระยะเวลา เนื่องจากระบบเราสามารถเปิดให้ทุกคนเข้ามาใช้งานได้ ดังนั้น การทำงานจากเดินที่ใช้เป็นเอกสาร ต้องส่งอีเมล์ หรือเดินไปส่งเอกสาร หรือต้องรอส่งเอกสารเข้าสำนักงานใหญ่ จะหมดไป เพราะกดส่งแล้วจะวิ่งไปหาผู้เกี่ยวข้องทันที และผู้เกี่ยวข้อง สามารถอนุมัติหรือเห็นเอกสารได้ทันที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรอการอนุมัติหรือตอบกลับ หรือแม้กระทั่งลดเวลาในการที่พนักงานจะมาสอบถามกับทาง HR ถึงรายละเอียดต่างๆ ที่พนักงานต้องการทราบ เช่น วันลาเหลือเท่าใด ค่าลดหย่อนที่ยื่นมา ได้นำเข้าระบบแล้วหรือไม่ หรือแม้กระทั่งสามารถดูฟังค์ชั่นการประเมินภาษีที่สรุปยอดคร่าวๆ ให้ว่า คาดว่าพนักงานจะต้องเสียภาษีเท่าใด ทำให้พนักงานวางแผนเรื่องการลดหย่อนภาษีล่วงหน้าได้
  7. ลดการใช้กระดาษ เนื่องจากเรามีการอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ดังนั้น จะสามารถลดการใช้กระดาษได้ เพราะเป็นการใช้ผ่านระบบทั้งหมด ถึงแม้จะลดได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็สามารถลดรายจ่ายลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นใบลา ใบโอที การส่งเบิกต่างๆ

“งาน HR ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” “HR มัวทำอะไรอยู่” “วันๆ ไม่เห็น HR ทำอะไร” “HR ก็ดีแต่หักเงินพนักงาน”

คุณเคยได้ยินคำเหล่านี้มั้ยคะ ซึ่งคนที่เป็น HR จริงๆ ฟังแล้วก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน คำถามคือ จริงๆ แล้ว คนที่ไม่ใช่ HR รู้มั้ยว่า HR ต้องทำอะไรบ้าง

HR-Job-Assistant
Photo by Helena Lopes from Pexels

งาน HR โดยหลักแล้ว คืองานด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล หรือพูดง่ายๆ ว่า คืองานที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน ซึ่งไม่ใช่แค่การทำเงินเดือนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การดูแล การพัฒนาพนักงานให้มีความสุข ให้พร้อมสำหรับการทำงาน การดูแลด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การจัดเตรียม และจัดหาอุปกรณ์การทำงาน เพื่อให้เกิดความสะดวกและความพร้อมในการทำงาน หรือเรียกได้ว่า กายดี ใจดี ก็พร้อมที่จะลุยกับงานได้

ปัจจุบัน งานหลักๆ ของ HR แบ่งออกเป็นสองลักษณะใหญ่ๆ คือ HRM หรือ Human Resource Management หรือการจัดการทรัพยากรบุคคล และ HRD หรือ Human Resource Development หรือการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ทั้งสองส่วนประกอบด้วยอะไรบ้าง

  1.  การวางแผนกำลังคน งบประมาณ กลยุทธ์ เราคงเคยได้ยินแผนก Recruit กันมาก่อน แต่จะมีใครบ้างที่คิดว่า การจะจ้างพนักงานสักคนนั้น ไม่ใช่แค่เดินมาบอก HR ว่า รับคนหน่อย งานเยอะ ไม่ไหวแล้ว แล้ว HR จะสามารถรับคนเพิ่มให้ได้ทันที เพราะโดยปกติแล้ว HR จะต้องมีการจัดทำแผนงานของทั้งบริษัทอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ทราบถึงทิศทางที่บริษัทจะเดินไป ต้องการคนแบบไหนเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ต้องใช้คนเท่าไหร่ และงบประมาณที่จะได้รับ ซึ่งจะต้องทำการจัดสรรและบริหารสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ลงตัว ไม่เช่นนั้น บริษัทก็จะใหญ่ เทอะทะ และมีรายจ่ายด้านพนักงานที่ไม่จำเป็น
  2. การสรรหาและว่าจ้าง เมื่อมีการวางแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทเรียบร้อย ต่อไปก็คือการสรรหาบุคคลากรที่สามารถตอบสนองต่อการทำงานของบริษัทเข้ามาทำงาน เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตและเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดคุณสมบัติ จำนวนที่จะรับ ทักษะที่ต้องใช้ รวมถึงกำหนดระยะเวลาการรับสมัคร เพื่อไม่ให้มีการใช้เวลาในการรับสมัครยาวเกินไป
  3. งานพัฒนาบุคลากร คือการให้การอบรมความรู้เกี่ยวกับบริษัท วัฒนธรรมองค์กร การทำงาน กฎระเบียบ รวมถึงการพัฒนาทักษะอื่นๆ หรือส่งเสริมให้พนักงานมีโอกาสก้าวหน้าในสายอาชีพ เช่น การส่งไปฝึกอบรมตามสถาบันต่างๆ เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ของพนักงาน
  4. งานจ่ายค่าตอบแทน เมื่อพนักงานมีการทำงาน ก็ต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานให้กับพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน เงินโอที เงินโบนัส เป็นต้น
  5. การประเมินผล การประเมินผลมีความหลากหลายมาก แล้วแต่บริษัทจะมีการจัดให้ประเมินผลแบบใดบ้าง ซึ่งโดยรูปแบบหลักๆ แล้ว จะมีการประเมินผลเมื่อครบกำหนดทดลองงาน และการประเมินผลประจำปี นอกจากนี้ ก็จะมีการจัดประเมินผลเมื่อมีการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อประเมินศักยภาพของผู้นั้น ว่าเหมาะสมตามที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการประเมินผลการทำงานทุกไตรมาส หรือทุกครึ่งปี เป็นต้น
  6. งานบริหารจัดการ การให้คำปรึกษา งานแรงงานสัมพันธ์ ในข้อ 6 นี้ จะมีรายละเอียดงานค่อนข้างกว้างมาก ซึ่งจะเป็นงานอื่นๆ ของ HR ที่พนักงานไม่ค่อยได้คิดถึงหรืออาจจะนึกไม่ถึงหรือไม่ทันสะกิดใจ และฝ่าย HR เอง ก็ค่อนข้างแยกงานส่วนนี้ออกเป็นส่วนๆ ยากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทที่มี HR ไม่มากนัก
    งานในข้อนี้ จะประกอบไปด้วย การบริหารจัดการด้านงานเอกสาร เช่น การออกประกาศต่างๆ หนังสือเวียน หนังสือเชิญประชุม
    การจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งานเลี้ยงประจำปี การจัดแข่งกีฬาประจำปี เป็นต้น

การให้คำปรึกษา เมือพนักงานรู้สึกอึดอัดใจในการทำงาน ไม่ว่าจะจากสาเหตุใดก็ตาม การให้พนักงานได้ระบายออกมา เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเป็นคนเก่งแล้ว คือคนที่บริษัทจะเสียไปไม่ได้ ความรู้สึกอึดอัด ภาระงาน เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างาน เป็นประเด็นหลักๆ ที่ทำให้พนักงานลาออกเสมอๆ ดังนั้น ถ้า HR ใส่ใจในพนักงานคอยจัดการแก้ไขหรือประนีประนอมปัญหาให้ได้ ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกดีขึ้น

การติดต่อหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น ประกันสังคม สรรพากร กรมแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน ตลอดจนกรมตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจ โรงพยาบาล ธนาคาร หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การส่งประกันสังคม การนำส่งรายงานภาษี การต่อเอกสาร work permit การตรวจประวัติอาชญากรรม การติดต่อบริษัทประกัน ต่อสัญญาประกันสุขภาพ ติดต่อธนาคาร ติดต่อกองทุนสำหรับทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอื่นๆ อีกมากมาย

งานด้านการรักษากฎระเบียบวินัยของพนักงาน ให้รางวัล และลงโทษ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานที่ทำดีได้มีโอกาสก้าวหน้าหรือได้รับรางวัลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ขณะที่พนักงานที่กระผิดก็ต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการตักเตือนมิให้กระทำผิดซ้ำ

และงานสุดท้ายที่คงไม่มีใครคิดถึงก็คือ การจัดเตรียมสภาพแวดล้อม อุปกรณ์ การซ่อมบำรุงสถานที่ เพื่อให้พนักงานพร้อมที่จะทำงาน เช่น คอมพิวเตอร์ไม่พอ ก็ต้องจัดซื้อ อุปกรณ์ชำรุดก็ต้องแจ้งซ่อม แสงสว่างไม่เพียงพอก็ต้องติดเพิ่ม ห้องดูทึบไป ก็อาจต้องสร้างบรรยากาศ เช่น อาจจะทาสีใหม่หรือหาต้นไม้มาประดับเล็กน้อย อย่าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กนะคะ เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เมื่อสั่งสมกันนานๆ แล้ว จะทำให้เกิดการสะสมและส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจพนักงานได้

ครั้งหน้าจะมาคุยกันถึงเรื่องของพนักงานกันบ้าง

อยากรู้ว่าโปรแกรมของเราจะช่วยคุณทางด้านงาน HR ได้อย่างไร คลิกที่นี่